แนะนำสายงานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน มีตำแหน่งอะไรน่าสนใจบ้าง ?

Posted on Category:Technology

โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ก็คือโรงงานที่ผลิตพลังงานโดยการใช้พลังงานอื่นๆ นอกเหนือจากพลังงานเดิมที่ใช้กันในปัจจุบันแต่เป็นการทดแทนด้วยพลังงานทดแทน ซึ่งอาจจะเป็นพลังงานลม แสงอาทิตย์ เป็นต้น 

ในปัจจุบันความต้องการพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้การพัฒนาและการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โรงงานเหล่านี้ต้องการแรงงานที่มีความหลากหลายและมีทักษะเพื่อให้แน่ใจว่าการทำงานมีประสิทธิภาพและยั่งยืน บทความนนี้จึงเป็นการแนะนำสายงานที่หลากหลายที่พบในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนกัน

1. ผู้จัดการโครงการพลังงานทดแทน

ผู้จัดการโครงการพลังงานหมุนเวียนมีหน้าที่ดูแลวงจรชีวิตโครงการทั้งหมด ตั้งแต่การวางแผนเริ่มต้นและการออกแบบไปจนถึงการก่อสร้างและการดำเนินงาน พวกเขาประสานงานกับทีมต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าโครงการจะเสร็จทันเวลาและอยู่ในงบประมาณ ผู้จัดการโครงการต้องมีความเป็นผู้นำและทักษะในการสื่อสารที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยีและกฎระเบียบด้านพลังงานหมุนเวียน

2. ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือ Solar Cell จะทำการจับและแปลงแสงแดดเป็นไฟฟ้าโดยใช้แผง Silar Cell ผู้ควบคุมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มีหน้าที่ตรวจสอบและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของโรงไฟฟ้า พวกเขาต้องทำการตรวจสอบเป็นประจำ ระบุและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค และรับประกันการทำงานที่ราบรื่น ซึ่งบทบาทนี้มักต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีแผงโซลาร์เซลล์ ขั้นตอนการบำรุงรักษา และระบบไฟฟ้าเป็นอย่างดี

3. ช่างกังหันลม

โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน อย่างลมใช้ประโยชน์จากลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ช่างเทคนิคกังหันลมมีบทบาทสำคัญในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมกังหันลม พวกเขาตรวจสอบส่วนประกอบของกังหัน ระบุความผิดปกติหรือความเสียหาย และดำเนินการซ่อมแซมที่จำเป็น ช่างเทคนิคต้องมีทักษะการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง ความเข้าใจที่มั่นคงเกี่ยวกับระบบเครื่องกลและไฟฟ้า และความสามารถในการทำงานบนที่สูงในทุกสภาพอากาศ

4. วิศวกรพลังงานยั่งยืน 

วิศวกรด้านพลังงานที่ยั่งยืนมีหน้าที่ในการออกแบบและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน พวกเขาทำการศึกษาความเป็นไปได้ ประเมินแหล่งพลังงาน และพัฒนาโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมสำหรับการผลิตพลังงานที่ยั่งยืน วิศวกรในสาขานี้จำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพพลังงาน และวิธีการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

5. ผู้จัดการโรงงานชีวมวล

โรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้องเปลี่ยนวัตถุเหลือใช้ อย่างพวกเศษซากอินทรีย์ อย่าง เศษไม้หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นพลังงานไฟฟ้า ผู้จัดการโรงงานชีวมวลจะดูแลการดำเนินงานในแต่ละวันของโรงงาน ซึ่งรวมถึงการจัดซื้อเชื้อเพลิง การเพิ่มประสิทธิภาพทรัพยากร และประสิทธิภาพของโรงงาน พวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎระเบียบของรัฐบาล ทักษะการจัดการที่แข็งแกร่ง พื้นฐานด้านวิศวกรรมหรือระบบพลังงาน และความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเผาไหม้ชีวมวลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งนี้

6. วิศวกรระบบไฟฟ้าพลังน้ำ

โรงไฟฟ้าพลังน้ำผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานของน้ำที่ไหลหรือตกลงมา วิศวกรระบบไฟฟ้าพลังน้ำออกแบบ บำรุงรักษา และปรับปรุงโครงสร้างไฮดรอลิก กังหัน และระบบไฟฟ้าของโรงงาน พวกเขาวิเคราะห์รูปแบบการไหลของน้ำ การผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ และใช้มาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บทบาทนี้ต้องการความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมไฮดรอลิค ระบบพลังงานหมุนเวียน และการดูแลสิ่งแวดล้อม

7. ผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างกริดไฟฟ้า

เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่กริด  ผู้เชี่ยวชาญด้านการรวมกริดไฟฟ้าจึงมีบทบาทสำคัญในการจัดการการรวมและเสถียรภาพของแหล่งพลังงานหมุนเวียน พวกเขาวิเคราะห์การไหลของพลังงาน ใช้กลยุทธ์การเชื่อมต่อกริด และพัฒนาระบบควบคุมเพื่อให้แน่ใจว่าแหล่งจ่ายไฟมีความน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพ 

สิ่งที่เห็นได้ชัดจากด้านบนที่กล่าวมาคือเรื่องความหลากหลายของประเภทโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ทั้งนั้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนยังมีโอกาสในการทำงานที่น่าตื่นเต้นมากมาย ตั้งแต่การจัดการโครงการไปจนถึงการดำเนินงาน การบำรุงรักษา วิศวกรรม และการสร้างหรือวิเคราะห์กริด มีตำแหน่งที่หลากหลายซึ่งต้องการทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งเกี่ยวข้องกับความยั่งยืน นวัตกรรม และความปรารถนาที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมเป็นลักษณะทั่วไปของมืออาชีพในสาขานี้ ในขณะที่โลกเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตของพลังงานที่สะอาดขึ้น สายงานในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนสัญญาว่าจะเป็นเส้นทางอาชีพที่น่าตื่นเต้นและเติมเต็มให้กับผู้ที่กระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในการเติบโตและความสำเร็จของการผลิตพลังงานที่ยั่งยืน

ทำความรู้จักกับการผ่าตัดต้อกระจก

Posted on Category:Medical

สำหรับอาการป่วยด้วยโรคต้อกระจก เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจจะกังวลอยู่ไม่มากก็น้อย ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากโรคต้อนี้อาจจะเกิดผลข้างเคียงหลายต่อหลายประการด้วยกัน อย่างไรก็ดีเมื่อคุณป่วยด้วยโรคต้อประเภทนี้แล้ว ควรทำการศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนว่ามีสิ่งใดที่ควรใส่ใจและให้ความสำคัญบ้าง พร้อมแล้วมาดูกันเลย 

การผ่าตัดต้อกระจกมีแบบใดบ้าง 

1.การใช้เครื่องสลายต้อ 

สำหรับวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นการสลายต้อด้วยเครื่องสลายต้อ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากของปัจจุบัน ด้วยการที่มีแผลสำหรับผ่าตัดที่กระจกตาเล็กขนาด 3 มิลลิเมตร โดยแพทย์จะทำการสอดเครื่องมือสลายต้อไปที่ตัวต้อกระจก และจากนั้นจะใช้พลังงานความถี่สูงในระดับอัลตร้าซาวน์เข้าไปสลายต้อจนหมด จากนั้นจึงค่อยใส่เลนส์ตาเทียมเข้าไปแทนที่ จะทำให้แผลมีขนาดเล็กมาก และไม่ต้องเย็บแผลในคนไข้ส่วนใหญ่อีกด้วย 

2.การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้าง 

อีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนอาจจะรู้สึกสงสัยก็คือวิธีผ่าตัดแบบดั้งเดิมนั้นใช้ในกรณีที่ต้อสุกและแข็งมาก จนกระทั่งไม่เหมาะกับการสลายด้วยเครื่อง ซึ่งทางแพทย์จะมีการเปิดแผลที่บริเวณครึ่งบนของลูกตา โดยยาวประมาณสิบมิลลิเมตร เพื่อให้เอาตัวเลนส์แก้วตาที่เป็นกระจกแก้วตาออก จากนั้นใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทนที่แล้วเย็บปิดแผลด้วยไหมเย็บแผล 

ป้องกันการเกิดต้อกระจก 

สำหรับการป้องกันการเกิดต้อนั้นมีอะไรบ้างมาดูพร้อมๆ กันเลย 

1.สวมแว่นกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวี 

สำหรับสิ่งแรกที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้มาก่อนก็คือการสวมแว่นกันแดดสำหรับป้องกันรังสีอัลตร้าไวโอเลต จะช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อได้เป็นอย่างดี 

2.กินอาหารที่มีประโยชน์ 

สำหรับการกินอาหารที่มีประโยชน์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินเอ วิตามินอีและวิตามินซีซึ่งช่วยในการบำรุงสายตา และการรับประทานวิตามินเสริมเองก็ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าลดความเสี่ยงในการเกิดต้อได้มากหรือน้อยเพียงใด 

3.ตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี 

สำหรับการตรวจสายตาเป็นประจำทุกปีถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม อาจจะกล่าวได้ว่าการตรวจสายตาเป็นประจำจะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน 

และนี่ก็คือวิธีการแก้ไขปัญหาสายตาที่ไม่ว่าใครก็ควรใส่ใจ อาจจะกล่าวได้ว่าการแก้ไขปัญหาสายตาหรือต้อกระจกที่ดีที่สุดก็คือการหันมาใส่ใจดวงตาของคุณตั้งแต่วันนี้เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจและปลอดโรคนั่นเอง 

ความสำคัญของวิตามินกับร่างกาย

Posted on Category:Health
วิตามินเม็ดฟู่

วิตามินคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณน้อยเพื่อสนับสนุนการทำงานของร่างกาย โดยไม่สามารถผลิตเองได้ แต่จะต้องได้รับจากอาหารหรือเสริมอาหารเพื่อให้ได้ปริมาณที่เพียงพอต่อการทำงานของร่างกาย วิตามินมีหลายชนิดแต่ละชนิดจะมีบทบาทแตกต่างกันในร่างกาย บางชนิดมีความจำเป็นสำหรับการสร้างเนื้อเยื่อและการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ส่วนบางชนิดอีกก็เป็นสารต้านอนุมูลสารอันตรายต่อร่างกาย การรับประทานวิตามินอย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพและป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ในร่างกาย วันนี้เรามาดูถึงความสำคัญของวิตามินกับร่างกายกันเลยดีกว่า

  1. วิตามินเอ มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้น รวมถึงช่วยเสริมการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวดูสุขภาพดี ช่วยลดการอักเสบของสิว ลดรอยจุดด่างดำ และช่วยส่งเสริมภูมิต้านทาน
  2. วิตามินดี ช่วยควบคุมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย  ส่งเสริมการสร้างกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกพรุนและโรคกระดูกบาง หากขาดวิตามินดีจะทำให้ปวดเมื่อย และเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
  3. วิตามินอี  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และกล้ามเนื้อ ช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้า และอ่อนเพลีย ช่วยบำรุงทำให้สุขภาพผิวเป็นปกติ
  4. วิตามินเค ส่วนประกอบสำคัญในการแข็งตัวของเลือด ในเด็กที่วิตามินเคในเลือดต่ำ จะมีอาการเลือดออกผิดปกติ หากขาดวิตามินเคจะส่งผลให้เลือดออกง่าย หรือเลือดไหลแล้วหยุดช้า 
  5. วิตามินบี คือกลุ่มวิตามินที่ประกอบด้วยวิตามินบี 8 ชนิด ได้แก่ ทิมีน (thiamine), ริบอะฟลาวิน (riboflavin), นิเอซิน (niacin), พีริโดกซายด์ (pantothenic acid), พีริโดกซามีน (pyridoxine), ไบโอติน (biotin), และโฟเลตต์ (folic acid) แต่ละชนิดจะมีหน้าที่แตกต่างกัน การได้รับวิตามินบีในปริมาณเพียงพอสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและป้องกันการเกิดโรคได้มากมาย
  6. วิตามินซี เกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ลดรอยแผลเป็น พบในส้ม ดอกกะหล่ำ บรอกโคลี ผักโขม แคนตาลูป มะเขือเทศ มะละกอ มันฝรั่ง ฝรั่ง สับปะรด หากขาดจะเกิดอาการเลือดออกตามไรฟัน ซีด แผลหายยาก ปริมาณที่ควรได้รับไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม

อาหารเสริมวิตามินนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ อย่าง วิตามินเม็ดฟู่ เป็นวิตามินที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิตามินที่รับประทานง่าย มักอยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบหลอดทำให้พกพาง่าย สามารถผสมน้ำดื่มได้โดยที่ไม่เสี่ยงเลอะเทอะ ดูดซึมง่าย ไม่ตกค้างในกระเพาะอาหาร รวมถึงไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารหรือระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ และช่วยปรับค่าความเป็นกรด-ด่างในกระเพาะอาหาร ใครที่สงสัยว่าแล้วจะหาซื้อวิตามินเม็ดฟู่ได้จากที่ไหน คำตอบก็คือที่  LAZADA ได้รวมเอาวิตามินเม็ดฟู่หลายๆ แบรนด์มาไว้ให้แล้วในที่เดียว 

สิ่งสำคัญก่อนซื้อความคุ้มครอง เช็คราคาประกันรถยนต์

Posted on Category:Insurance

หากวันนี้คุณต้องการเลือกซื้อความคุ้มครองจากประกันภัยรถยนต์นอกจากจะต้องเข้ามาทำความรู้จักกับแต่ละรูปแบบประกันรถยนต์แล้วการใช้บริการเช็คราคาประกันรถยนต์ก่อนที่จะเลือกซื้อประกันก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้ามในทีเดียวเพราะมันจะช่วยทำให้ผู้เอาประกันมั่นใจได้ว่าความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันของประกันรถยนต์ที่คุณสนใจนั้นตรงกับความสามารถของตัวเองและทำให้คุณไม่เดือดร้อนทางการเงินตามมาเมื่อเลือกซื้อความคุ้มครองประกันรถยนต์นั้นแล้ว

 ดังนั้นในวันนี้สำหรับใครที่กำลังมองหารูปแบบความคุ้มครองประกันรถยนต์ให้กับชีวิตและทรัพย์สินของตัวคุณเองลองเข้ามาใช้บริการเช็คราคาประกันรถยนต์ก่อนเลือกซื้อซึ่งจะช่วยทำให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์การใช้งานของตัวเองมากที่สุด 

เช็คราคาประกันรถยนต์ เริ่มต้นอย่างไร

สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องใช้บริการเช็คราคาประกันรถยนต์ก่อนที่จะเลือกซื้อรูปแบบความคุ้มครองประกันรถยนต์ด้วย วันนี้ลองเข้ามาทำความเข้าใจในบริการการ เช็คราคาประกันรถยนต์ กับเราก่อนเพื่อที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่คุณควรเลือกทำก่อนที่จะเลือกซื้อประกันรถยนต์ใดๆก็ตาม 

เอาเป็นว่าหากคุณต้องการเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์อย่าลืมเข้ามาใช้บริการเช็คราคาประกันรถยนต์ที่เว็บรู้ใจเราพร้อมที่จะให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือในทุกขั้นตอนสำหรับการเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่คุณต้องการทั้งนี้หากคุณเรียกว่าสิทธิพิเศษดีๆอื่นๆในการเลือกซื้อประกันรถยนต์กับรถรู้ใจโดยเฉพาะบริการเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันที่จะช่วยทำให้คุณประหยัดเงินในการเลือกซื้อความคุ้มครองที่ต้องการได้มากขึ้นเข้ามาทำความรู้จักกับรูปแบบประกันภัยรถยนต์ที่เว็บรู้ใจของเรารับประกันได้ว่ามันจะช่วยทำให้คุณเข้าถึงรูปแบบความคุ้มครองที่ดีที่สุดในราคาเบี้ยประกันที่คุณจะต้องพึงพอใจ

สำหรับใครที่ยัง มองไม่เห็นความสำคัญของการใช้บริการเช็คราคาประกันรถยนต์ลองเข้ามาทำความรู้จักกับแต่ละรูปแบบประกันรถยนต์ที่หน้าเว็บรู้ใจของเราก่อนเพื่อที่จะช่วยทำให้คุณเข้าใจในกระบวนการสำหรับการเลือกซื้อประกันรถยนต์ในเบื้องต้นได้ง่ายมากขึ้นว่ามีขั้นตอนอย่างไรมีอะไรบ้างที่คุณควรรู้ก่อนที่จะเลือกซื้อแบบประกันรถยนต์และจะไม่ทำให้คุณผิดหวังในการเลือกซื้อความคุ้มครองซึ่งแน่นอนว่าหากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมอื่นใดสามารถเข้ามาสอบถามกับทีมงานเว็บรู้ใจของเราได้เราพร้อมให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือในทุกๆขั้นตอนการเลือกซื้อรูปแบบประกันภัยรถยนต์ที่คุณต้องการ รวมถึงใช้บริการเปรียบเทียบราคาเบี้ยประกันที่จะทำให้คุณประหยัดเงินในการเลือกซื้อความคุ้มครองได้มากขึ้นกว่าเดิม

ยารักษาโรคซึมเศร้า คืออะไร แล้วมีอะไรบ้าง?

Posted on Category:Medical
ยารักษาโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า หรือชื่อภาษาอังกฤษ Depression เป็นโรคทางจิตเวชที่พบในอันดับต้นๆ และในปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เรื่อยๆ และมีเกณฑ์ว่าจะพบจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคนี้เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการฆ่าตัวตายสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามารู้จักกับโรคซึมเศร้า และยารักษาโรคซึมเศร้ามาฝาก

โรคซึมเศร้าคืออะไร

โรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติของสมองในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย แต่คนส่วนใหญ่รู้เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าก็มักจะนึกถึงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป จึงคิดว่าโรคซึมเศร้าความผิดหวัง หรือการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ และจะสามารถรักษาหรือแก้ไขได้ด้วยการให้กำลังใจ และให้พลังบวก

ซึ่งในความจริงแล้ว โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ ซีโรโตนิน นอร์เอปิเนฟริน และโดปามีน จึงจำเป็นที่ต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์ เพราะนอกจากจะต้องบำบัดอย่างถูกวิธีแล้ว ยังอาจจะต้องใช้ยาในการรักษาร่วมด้วย

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยยา

การใช้ยารักษาสำหรับโรคซึมเศร้า (Antidepressant) เป็นวิธีการรักษาโรคซึมเศร้าที่ทางแพทย์นิยมใช้กับผู้ป่วย ซึ่งตัวยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่เป็นยาที่เข้าไปช่วยในการปรับสมดุลระบบประสาทในสมอง ที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งจะช่วยให้อาการซึมเศร้าลงลด ทั้งนี้ยาที่สามารถเข้ามาช่วยปรับสมดุล 3 สารด้วยกัน ได้แก่ 

  • สารนอร์อิพิเนฟริน (Noradrenaline) เป็นสารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการตื่นตัว ช่วยสร้างความกระตือรือร้น แถมยังช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
  • สารโดปามึน (Dopamine) เป็นสารที่ช่วยควบคุมความรู้สึก ช่วยกระตุ้นกระบวนการรู้สึกนึกคิด และระบบการสั่งการการเครื่อนไหวของร่างกาย
  • สารเซโรโทนิน (Serotonin) สารที่ช่วยในเรื่องการนอนหลับให้เป็นปกติ ช่วยควบคุมระบบย่อยอาหาร ความรู้สึกอยากอาหาร ลดอาการเบื่ออาหาร รวมถึงอารมณ์ทางเพศ ช่วยควายคุมความรู้สึกโกรธ และความรู้สึกก้าวร้าว 

ทั้งนี้ยาในกลุ่มของโรคซึมเศร้าจะมีทั้งยาของกลุ่ม

ยากลุ่ม Monoamine Oxidase Inhibitors (MAOIs) เป็นยาช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์โมโนเอมีน ออกซิเดส (Monoamine oxidase) เพื่อให้สารสื่อประสาทในสมองสามารถทำงานเพื่อยับยั้งอาการซึมเศร้าได้

ยากลุ่ม Tricyclic Antidepressants (TCAs) เป็นยาช่วยดูดซึมสารสื่อประสาทนอร์อีพิเนฟริน และสารเซโรโทนินให้กลับเข้าสู่เซลล์ประสาท แบ่งตามโครงสร้างเคมีของยาได้เป็น

1. ยาชนิดเอมีนตติยภูมิ (Tertiary amine) ได้แก่ ยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ยามิพรามีน (Imipramine) โคลมิพรามีน (Clomipramine) ด็อกเซปิน (Doxepin) และไทรมิพรามีน (Trimipramine)

2. ยาชนิดเอมีนทุติยภูมิ (Secondary amine) ได้แก่ นอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline) และเดซิพรามีน (Desipramine)

ยาคลายกล้ามเนื้อ ใช้บ่อยอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย

Posted on Category:Medical
ยาคลายกล้ามเนื้อ

สำหรับเหล่านักกีฬา ผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย หรือผู้ที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ คงรู้จักยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้ยาตัวนี้คือผู้ที่มีปัญหาปวดเมื้อยกล้ามเนื้อ ซึ่งบางคนที่ทานยาตัวนี้เป็นประจำ และทานยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งมีผลข้างเคียงและอันตรายอย่างมาก หากทานยาประเภทนี้บ่อย เพราะฉะนั้นวันนี้เราเลยมีคุณสมบัติของยาประเภทนี้มาให้ และมีผลข้างเคียงที่อาจส่งผลได้ ซึ่งเราเตรียมข้อมูลให้คุณแล้ว

คุณสมบัติของยาคลายกล้ามเนื้อ (Tolperisone)

ยาคลายกล้ามเนื้อคือยาที่ใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดเฉียบพลันจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อส่วนคอ กล้ามเนื้อส่วนหลัง กล้ามเนื้อส่วนแขน ขา หรือกล้ามเนื้อข้อต่อตามส่วนต่างๆ ที่เกิดการปวดจากการบาดเจ็บ อย่างเช่นการออกกำลังกายอย่างหักโหม การทำงานผิดท่า หรือเกิดจากโรคที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นต้น 

  • ยาคลายกล้ามเนื้อบรรเทาอาการปวด ที่เกิดจาการตึงหรือเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
  • มีผลต่อสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้กล้ามเนื้อคคลายตัว
  • แตกต่างจากยาในกลุ่มรักษาโรคไขกระดูกที่กล้ามเนื้อมีการเกร็งตัวและกลุ่มยาดมสลบก่อนการผ่าตัด
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไม่มีข้อบ่งใช้สำหรับยาชนิดนี้

ทั้งนี้การทานยาคลายกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง สำหรับคนที่ทานยาคลายกล้ามเนื้ออยู่บ่อยๆ เพราะจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาหารปวด ต้องใช้ยาหลายกลุ่มควบคู่ไปด้วย โดยขั้นตอนแรกอาจใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อทำการลดอาการปวดก่อน เพราะบางคนทานยาพาราเซตามอลก็ช่วยบรรเทาอากาารปวดแล้ว แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจเปลี่ยนมาเป็นยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ จากนั้นจึงค่อยใช้ยาลดการอักเสบ เพราะยาลดการอักเสบจะออฤทธิ์ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์สารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งปกติถ้าทานแล้วอาการจะทุเลาลงตั้งแต่ 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้อง 

ยาคลายกล้ามเนื้อส่งผลเสียต่อร่างกาย

หากทานยาคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายรู้สึกมึนงง ง่วงซึม ท้องผูก ปากแห้ง คอแห้ง ทั้งนี้ยาคลายกล้ามเนื้อจึงไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ และผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูง ดังนั้นหากทายยาคลายกล้ามเนื้อเป็นจำนวนมากเกินความต้องการของร่างกาย อาจทำให้เกิดการมึนงง ง่วงซึม และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ทานยาคลายกล้ามเนื้อแทน

ทั้งนี้หากคนที่ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือมีอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ ก็ไม่ควรทานยาประเภทนี้ หรือถ้าอาการปวดเริ่มทุเลาลง คุณก็ไม่จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง รวมถึงผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยาต่อเนื่อง หากลืมกินยาสามารถกินได้ทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ และไม่ต้องเพิ่มขนาดของยา แต่ข้อควรระวังของยาประเภทนี้คือ กลุ่มผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ควรทานยาประเภทนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ หากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้ปรึกษากับทางแพทย์จะดีกว่า 

ยาอันตรายที่ไม่ควรซื้อมาใช้เอง

Posted on Category:Medical
ยาอันตราย

ในยุคปัจจุบัน อาการเจ็บไข้ได้ป่วยของผู้คนมักจะหายไปด้วยการซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะในวัยสูงอายุที่ไม่อยากจะไปพบแพทย์ด้วยตนเอง รวมถึงวัยทำงานที่ไม่มีเวลาจะไปพบแพทย์ ซึ่งยารักษาอาการทั่วไปปรึกษาเภสัชกรที่ขายอยู่ในร้านขายยา แต่จะเป็นการรักษาอาการเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าจะให้ทราบชัดเจนว่าเจ็บป่วยด้วยสาเหตุใด ก็ควรจะไปพบแพทย์ เนื่องจากยาบางชนิดเป็นยาที่อันตราย ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ซึ่งยาอันตรายที่ไม่ควรซื้อมารับประทานเองนั้น ก็เห็นจะเป็นยาปฏิชีวนะ ที่จะต้องผ่านการสั่งจากแพทย์ก่อนที่จะให้กับผู้ป่วย 

ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาต้านแบคทีเรีย เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส ไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ แก้ปวด ลดไข้ ใช้รักษาเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่น ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง ตัวอย่างยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลิน อะม็อกซีซิลิน เตตร้าซัยคลิน เลโวฟล็อกซาซิน องค์การเภสัชกรรม เตือนผู้ที่นิยมซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานเอง และรับประทานบ่อยเกินความจำเป็น อาจเสี่ยงต่อการดื้อยาสูงและแพ้ยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มยาปฏิชีวนะเข้าสู่ร่างกายโดยเปล่าประโยชน์ โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่หาย โดยองค์การเภสัชกรรมแนะนำว่า ต้องกินยาอย่างถูกวิธี ต่อเนื่องจนครบ ซื้อยาจากร้านที่มีเภสัชกรประจำร้านดูแล สามารถให้คำแนะนำการใช้ยา และที่สำคัญที่สุดคือการมาพบแพทย์ในสถานพยาบาล เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม

ซึ่งหลายๆ คนนั้นเข้าใจผิดว่ายาปฏิชีวนะคือยาแก้อักเสบ แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เนื่องจากยาปฏิชีวนะจะเป็นยารักษาโรคที่มีสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ยาแก้อักเสบ หรือ ยาต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory drugs) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดการอักเสบ ลดไข้ บรรเทาปวด ลดบวมแดง เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย 

ผลเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็น 

  1. ชื้อแบคทีเรีย จะปรับตัวให้ทนต่อยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้เชื้อดื้อยา
  2. เกิดการทำลายเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
  3. เกิดผลข้างเคียง เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย อาเจียน ผื่นคัน หรือลมพิษ เป็นต้น
  4. อาจทำให้ฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ หรือยาอื่น ๆ ที่รับประทานอยู่เพิ่มขึ้นจนเกิดผลข้างเคียงที่มากขึ้น หรือลดลง จนไม่ได้ผลในการรักษา

ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะนั้นจะต้องได้รับการปรึกษาจากแพทย์และเภสัชกรก่อนเสมอ เพราะนอกจากอันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะอีกหลายประการ เช่น การมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นโรคตับ หรือโรคไต จำเป็นต้องเลี่ยงการใช้ยาบางประเภท หรืออาจต้องปรับขนาดยาให้เหมาะสมตามอายุของผู้ป่วย นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติแพ้ยาบางชนิด การแจ้งแพทย์และเภสัชกรให้ทราบว่าตนเองแพ้ยาชนิดใด จะปลอดภัยกับตัวผู้ป่วยอย่างสุดสูง